CONTENT TIPS
ถ้า Netflix มีโฆษณาคุณจะเลิกดูมันหรือไม่ ??
Published
3 ปี agoon
By
SEMIC0L0N

“เพราะอนาคต Netflix อาจมาแทนที่ของทีวีคุณ”
ถ้าพูดถึงบริการสตรีมมิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ในตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นอย่างค่ายยักษ์ใหญ่ Netflix เพราะนอกจากซีรี่ส์ที่ดังและความสนุกสนามความบันเทิงต่างๆ ทำให้ใครหลายๆ คนติดกันเอามากจนขึ้นแท่นอันดับหนึ่งของ บริการสตรีมมิ่ง

แล้วทำไม Netflix ถึงเป็น บริการสตรีมมิ่ง ที่โด่งดังได้ถึงขนาดนี้
ถ้าให้เราเล่าย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็น่าจะประมาณปี 2559 ที่ได้มีการเปิดตัวแอพพลิเคชั่น Netflix ขึ้นมาจนเป็นที่ทำให้ใครหลายๆ คนเริ่มสนใจมากยิ่งขึ้นจนบอกกันปากต่อปาก จนกระทั่งรีวิวซีรี่ส์ผ่าน โซเชียลเน็ตเวิร์ก ต่างๆ ทำให้คนเริ่มรู้จักมากขึ้น
“ด้วยความสำเร็จของ Netflix บริการสตีมมิ่งออนไลน์ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา”

และสิ่งที่ Netflix นั้นได้สร้างความสำเร็จบนบริการสตีมมิงออนไลน์ นั้นมีอะไรบ้างนะ
ด้วยการสร้างปรากฏการณ์ของ Netflix ทำให้การสตีมมิงออนไลน์นั้นบูมขึ้นอีก จนใครหลายๆ คนได้พูดว่า “Netflix and Chill” ซึ่งหมายถึง แค่เน็ตฟลิกซ์และปล่อยใจตามสบายจน ซึ่งก็ได้สร้างความสำเร็จมากมาย พร้อมกับสถิติอันน่าทึ่งดังต่อไปนี้
▪ คนใช้บริการกว่า 100 ล้านคน ทั่วโลก : เรียกได้ว่าเปิดตัวการใช้งานในรูปแบบสตรีมมิ่งปุ๊บมีคนต่อคิวมาเข้าใช้บริการปั๊บ ซึ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งเน็ตฟลิกซ์ ได้เปิดเผยว่า พวกเขามีรายรับกว่า 94,000 ล้านบาท หรือประมาณ 2.79 พันล้านเหรียญสหรัฐ และยอดผู้ใช้บริการที่ทะลุ 100 ล้านคน เป็นที่เรียบร้อย Netflix กลายมาเป็นผู้นำด้านความบันเทิง
▪ เข้าถึงคนไทยได้มากขึ้น : เพราะด้วยอินเทอร์เฟซและหน้าปกเนื้อหาเป็นภาษาไทย ที่มาพร้อมกับซับไตเติ้ลไทยและมีพากย์ไทยในบางเนื้อหา ทำให้เข้าถึงคนไทยมากขึ้น นอกจากนี้ประเทศไทยยังสามารถรับชม Netflix’s Original Series พร้อมกันกับทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งผู้บริการรายต่างๆ ก็ทำให้เราเข้าถึงบริการจาก Netflix ง่ายขึ้นด้วย
▪ รางวัลการันตีระดับโลก : เพราะนอกจากสิ่งการันตีความสนุกจากยอดผู้ชมและกระแสต่างๆ แล้วรางวัลนักแสดงก็เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงคุณภาพของ Netflix ได้เป็นอย่างดี ซึ่งรางวัล Emmy ในปีนี้ ซีรีส์ทาง Netflix ได้เข้าชิงกว่า 91 รางวัล ทั้งนี้ยังได้รับรางวัล Grammy ซึ่งการันตีคุณภาพด้านเสียง จากซีรีส์ Stranger Things
▪ Content สุด Exclusive : ด้วยความบันเทินที่มันจนถึงขั้นสุดนั้นของ Netflix ที่โด่งดังเป็นกระแสต่างๆ เป็นคอนเทนต์ออริจินอล ที่ไม่สามารถหาดูได้จากแพลตฟอร์มอื่น เพราะมันคือ Netflix Originals ซึ่งสร้างสรรค์โดย Netflix เองที่มีทั้งซีรีส์, สารคดี, การ์ตูน และภาพยนตร์เรื่องยาว ที่เป็นแค่เฉพาะใน Netflix เท่านั้น ถือได้ว่าเป็นคอนเทนต์ระดับคุณภาพที่ได้รับการยอมรับทั้งด้านภาพและเนื้อหา

แล้วทำไม Netflix ถึงได้ครองตลาดทางด้านการเป็นสตีมมิ่งล่ะ ?
คุณเคยขับรถผ่านในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้วเจอคำๆ นี้กันหรือไม่ “ปีใหม่นี้ #ไม่ไปไหนไป Netflix” กันบ้างไหมพร้อมกับโฆษณาต่างๆ ตามป้ายรถเมย์ทั่วไปหมด ซึ่งทาง Netflix ได้มีเทคนิคง่ายๆ แค่ 4 ข้อในการทำการตลาดดังนี้….
▪ ความสำคัญกับ Audience Data : เพราะสิ่งที่ Netflix คิดถึงมากที่สุด ก็คือผู้ชมเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งอาจจะฟังดูแล้วจะอดหัวเราะกันไม่ได้ แต่ว่ากันด้วยความจริงการทำคอนเทนต์ที่ไม่ Engage กับผู้ชมนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย ดังนั้นความต้องการของผู้ชมจึงเป็นสิ่งที่ต้องศึกษา และพยายามเข้าใจบทบาทในชีวิตของพวกเขา
▪ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป : คุณคิดตามดูนะครับถ้า Netflix ทำอะไรเดิมๆตามโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ พวกเขาก็คงสร้างความแตกต่างไม่ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเริ่มจากพื้นฐานเล็กๆน้อยๆที่เค้าได้สังเกต จากการจัดเนื้อหาตามพฤติกรรมของผู้ชมบนแอป ไปจนถึงเคสล่าสุดอย่างการชมซีรี่ส์ Black Mirror ในรูปแบบ Interactive
▪ Content Is Still King : สิ่งที่ทำให้ Netflix ฉีกตัวเองจากตลาดคือ Content ที่หาดูไม่ได้ที่อื่น คงเป็นเนื้อหาที่เข้มข้นจนเกิดการบอกต่อ และรวมไปถึงการใช้ดาราฮอลลีวูดในการทำภาพยนตร์ซีรี่ส์ เพื่อประกาศว่า Original Content ของพวกเขาคือ Main Stream และไม่ใช่เพียงของแถมที่ติดมาในแพ็คเกจเท่านั้น
▪ โปรโมทคอนเทนต์ด้วยการโฟกัสไปที่ Traffic และ Conversions : ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะการทำไวรัลสักชิ้นแทบจะคาดเดาผลไม่ได้เลย มันอาจจะเงียบกริบ หรือเกิดผลเลยเถิดบานปลาย แต่สุดท้ายก็ต้องย้อนกลับไปข้อ 1 อยู่ดีว่า คุณเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคแค่ไหน ยิ่งเข้าใจมาก จับจุดได้มากเท่าไหร่ก็ช่วยให้การทำ Content Marketing เข้าไปอยู่ในใจของผู้คนได้มากเท่านั้น



แล้วถ้า Netflix มี โฆษณาล่ะคุณจะยังติดตามกันอยู่ไหม ??
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือกันถึงในกรณีที่ Netflix จะเริ่มนำโฆษณาเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์ม และ ล่าสุดก็ได้มีการศึกษาเพิ่มเติมว่า ถ้า Netflix ทำอย่างนั้นจริง อาจประสบปัญหาเรื่องจำนวนสมาชิกที่จะลดฮวบลงไปแน่นอน คุณเห็นด้วยไหมครับ ?
โดย 23% ของผู้ตอบแบบสอบถามของ Hub Entertainment Research ได้ออกมาว่า พวกเขาคงจะยกเลิกสมาชิก Netflix อย่างแน่นอนถ้ามีการโฆษณาบนแพลตฟอร์ม ซึ่งจำนวนดังกล่าวนั้นหมายถึงการสูญเสียสมาชิกเกือบ 14 ล้านราย หรือหากจะคิดแบบจำนวนแอคเคาน์ที่ชำระเงินแบบรายเดือนของ Netflix ในสหรัฐอเมริกา ก็มีจำนวนทั้งหมดถึง 60 ล้านแอคเคาท์เลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม จากแบบสำรวจยังระบุอีกว่า “ราคาก็มีผลเช่นกัน” โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนหนึ่งยอมรับว่า ถ้ามีโฆษณาแล้ว Netflix จะลดราคาลงประมาณ 2 เหรียญสหรัฐ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่รับได้ ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 14% เท่านั้นที่ยังยืนยันว่าพวกเขาจะยกเลิกสมาชิก และหากลดราคาไป 3 เหรียญ คนที่จะบอกยกเลิกบริการยิ่งลดลงไปเหลือแค่ 12% เท่านั้น
แต่สำหรับกลุ่มผู้ที่ตอบแบบสอบถามในครั้งนี้เป็นผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาจำนวน 1,765 คน อายุระหว่าง 16-74 ปีที่ดูโทรทัศน์อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์และมีบรอดแบนด์ในบ้าน
ปัจจุบัน บริการสตรีมมิ่งคู่แข่งของ Netflix อย่าง Hulu และ NBCUniversal ของ Comcast มีแผนว่าจะรองรับโฆษณา ซึ่งจุดนี้อาจเป็นตัวผลักดันให้ Netflix จะยอมขายพื้นที่โฆษณาในที่สุดก็เป็นได้
เราก็ต้องคงติดตามสถานการณ์ของ Netflix กันต่อไปนะครับว่าจะทำอย่างไรต่อกับการบริการในอนาคตที่กำลังอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในเร็วๆ นี้ครับ
You may like
คาดการณ์จากนักวิเคราะห์ Gartner : หาก Netflix มีโฆษณา
6 ทริคการเขียนบทความ บูสต์การทำ Content Marketing ให้ยืนหนึ่ง
ส่องกลยุทธ์การทำ Content Marketing ปี 2022 ยังไงให้ปัง
เดินเกมธุรกิจตามกระแสรักษ์โลก เมื่อคนไทยยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
เปิดลงทะเบียนได้แล้ววันนี้ Facebook Summit 2021 พร้อมชมการไลฟ์สดในวันที่ 28 กันยายนนี้
เกาะ Tiktok Trend : Trick ทำ Content ให้ปัง เพิ่มยอดผู้ติดตาม
CONTENT TIPS
10 ไอเดียทำ VDO Content ลง IG ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มขึ้น
Published
3 สัปดาห์ agoon
4 พฤษภาคม 2022By
Fai Kunlada
เป็นที่เข้าใจได้ค่ะ หากในหน้าโปรไฟล์ไอจีธุรกิจของใครหลาย ๆ คนจะเต็มไปด้วยโพสต์ขายของ เพราะเป็นใคร ใครก็อยากเน้นโพสต์ได้ทำหน้าที่แผงขายของสร้างรายได้ให้กับเรา
แต่ถ้าหากเราต้องการพรีเซนต์ธุรกิจเราต่อลูกค้าใหม่ ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า การลงแค่คอนเทนต์ Hard sell อย่างเดียวคงไม่มีใครอิน ดังนั้นวันนี้เราจะมาแจก 10 ไอเดียทำ VDO Content ลง IG ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มขึ้น จาก Social Media Examiner กันค่ะ
ขึ้นชื่อว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใหม่ ดังนั้นหลักการของทั้ง 10 ไอเดียนี้จะมาจากหลักการการทำ TOFU (Top-of-Funnel) เพื่อเป็นการแนะนำตัวแบรนด์ให้ลูกค้าใหม่ ๆ ได้หันมาสนใจทำความรู้จักกับเราค่ะ
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อทำวิดีโอไอจีโดยใช้หลักการ TOFU
- เป็นตัวของตัวเอง เพื่อจูงใจให้ลูกค้าเป้าหมายรักเราที่เป็นเรา แล้วกดตุ่มฟอลโลว์เราในที่สุด
- ทำให้ง่ายเข้าไว้ คนเข้ามาใหม่ส่วนมากยังไม่มีใครสนใจข้อมูลเชิงลึกมากหรอกค่ะ เพราะฉะนั้นแนะนำทำให้เข้าถึงง่ายเข้าไว้และยังแฝงไปด้วย offer ต่าง ๆ ของเราค่ะ
- เล่าเรื่อง หรือ Storytelling การนำเสนอแบบนี้จะทำให้แอค ฯ ของเราดูน่าติดตาม คนกลับมาดูคอนเทนต์เราบ่อยขึ้น
- สั้น ๆ กระชับ เพราะในปีนี้ 2022 IG มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มสำหรับวิดีโอสั้นกันแล้วค่ะ ดังนั้นความยาวคลิปไม่เกิน 60 วิ คือแนะนำค่ะ
10 ไอเดียทำ VDO Content ลง IG ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มขึ้น
แนะนำตัวธุรกิจของเรา
แนะนำธุรกิจของเราให้แก่ Potential customers ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับสตอรี่ของธุรกิจ โชว์เคสว่าเรามีสินค้าอะไรบ้าง หรือแม้กระทั่งใครเป็นทีมงานเราบ้าง แบบนี้ก็ได้ แต่ในบางทีหากมีเรื่องเล่าเยอะทำให้วิดีโอยาวเกินไปก็สามารถซอยย่อยออกมาเป็นพาร์ท ๆ ได้ค่ะ
แสดงคุณค่าแบรนด์ของเรา
โชว์ให้ลูกค้าในอนาคตของเราเห็นว่าสินค้าของเรามีดีหรือถูกใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตขนาดไหน หรือจะนำเอา CEO มาให้สัมภาษณ์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับภาพลักษณ์แบรนด์ก็ทำได้
ยกตัวอย่างจากแอคเคาท์ @kencko ที่นำเสนอ Value ของสินค้าในรูปแบบที่อยากให้ทุกคนมองลึกลงไปว่าภายในนั้นมีส่วนประกอบอะไรอยู่บ้าง โดยการใช้ลูกเล่นแว่นขยายส่องลงไป

แสดงให้เห็นถึงเวย์การใช้สินค้าใหม่ ๆ
ให้แรงบรรดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้าได้อยากลองซื้อสินค้าของเราไปใช้ดูบ้าง หากใครคิดไม่ออกก็ลองนึกถึงการนำโอรีโอไปใช้เป็น Raw material ในการทำขนม/เบเกอรี่ต่าง ๆ ดูก็ได้ค่ะ เคสนี้เคยประสบความสำเร็จแล้วช่วยให้โอรีโอได้เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนได้มาแล้ว
สอนวิธีการใช้หรือเคล็ดลับ DIY
การให้ไอเดียวิธีการใช้สินค้าเวย์ใหม่ ๆ กับลูกค้าก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่หากจะให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นก็ทำวิดีโอสอนการใช้ในแบบของเราไปเลย
Sneak peek สินค้าใหม่
ให้ลูกค้าได้ตื่นเต้นกับสินค้าใหม่ที่เรากำลังจะออกวางขาย โดยการลงสตอรี่เพื่อให้ดูน่าค้นหา เพราะด้วยเนเจอร์ของฟีเจอร์นี้ที่คอนเทนต์จะคงอยู่เพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น
เปิดตัวสินค้าใหม่
ให้เกิด Awareness กับโปรดักใหม่ของเรา โดยอาจจะทำเปฌน Reels สั้น ๆ โชว์ว่าสินค้าใหม่ของเราใช้ทำอะไรได้บ้าง ปรับแต่งยังไงได้บ้าง
โชว์เบื้องหลังการทำงาน / การผลิต แบบเล็ก ๆ น้อย ๆ
เพราะว่าคนสมัยนี้ต่างชอบดูอะไรที่เรียล ๆ และดูเข้าถึงได้ การพาทัวร์โรงงานหรือโปรดักไลน์สั้น ๆ ก็ทำให้คนหันมาสนใจเอนเกจกับเรามากขึ้น
บอกสรรพคุณของสินค้า
เพื่อไฮไลต์ถึงความเจ๋งของสินค้าเรา แต่ต้องคำนึงไว้เสมอว่าเราทำโดยอิงหลัก TOFU เพราะฉะนั้นเนื้อหายังไม่ต้องลึกมากค่ะ
ทำคอนเทนต์ขำ ๆ บ้าง
การขายของไม่จำเป็นต้องอัดแต่คอนเทนต์เกี่ยวกับสินค้าเสมอไป การทำคอนเทนต์ขำ ๆ จะช่วยเรียกยอดเอนเกจได้ดีเลยค่ะ
ใช้ฟีเจอร์ไลฟ์สด สื่อสารกับลูกค้าแบบ Real time
เป็นวิธีการที่เรียลและจริงใจกับลูกค้ามากที่สุด และยังสามารถเปลี่ยนลูกค้าจากขั้น TOFU มาเป็น MOFU ได้อีกด้วย
อ้างอิง : Social Media Examiner
CONTENT TIPS
คอนเทนต์แบบไหนโดนใจผู้ใช้ Facebook, IG, Twitter, TikTok มาที่สุด ฉบับปี 2022
Published
1 เดือน agoon
20 เมษายน 2022By
Fai Kunlada
อัปเดตแนวทางการทำคอนเทนต์ในปี 2022 ของแต่ละแพลตฟอร์มยอดฮิตอย่าง Facebook, IG, Twitter และ TikTok กันค่ะ
ทุกวันนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าฟีเจอร์ของแต่ละแพลตฟอร์มนั้นอาจมีหน้าตาที่แตกต่างและคล้ายคลึงกันไปแต่สำหรับนักการตลาดหรือสายคอนเทนต์อย่างเรา ๆ ก็ต้องรู้ว่าในความแตกต่างเล็ก ๆ นี้พฤติกรรมของผู้ใช้แต่ละแพลตฟอร์มมีความคาดหวังในตัวเนื้อหาและสนใจในคอนเทนต์แต่ละประเภทแตกต่างกันไป เพราะบางทีคอนเทนต์ Real time ในแพลตฟอร์มนั้น ๆ อาจไม่ได้ตอบโจทย์และเรียกเอนเกจได้เสมอไปนั่นเองค่ะ
Facebook ยังต้องการ Community-driven

จากการสำรวจ ถึงแม้เหล่าคอนเทนต์ประเภท Funny, Informative, Creative จะถูกโหวตจากผู้ใช้ว่าพวกเขาอยากเห็นบนหน้าฟีดมากที่สุด แต่แท้จริงแล้ว Community-driven นั้นก็ยังเป็นประเภทคอนเทนต์ที่ผู้ใช้ยังให้ความสนใจ กล่าวคือ ผู้บริโภคเกือบ 1 ใน 5 ต้องการเห็นแบรนด์สร้างคอมมูนิตี้ให้พวกเขา
อีกทั้งอ้างอิงจากการวิจัยของ GWI. ยังพบว่า ระดับของเอนเกจเมนต์ในแต่ละกลุ่มเฟซบุคนั้นมีคงที่และสม่ำเสมอ แต่ยังไม่มีค่อยแบรนด์นำข้อดีของการมีกลุ่มความสนใจเฉพาะในเฟซบุคไปใช้ประโยชน์สักเท่าไหร่ เพราะกลุ่มคอมมูนิตี้เหล่านี้คือแหล่งของคนที่มีความสนใจร่วมกัน, ในพื้นที่นั้น ๆ อยู่รวมกัน ซึ่งหากแบนรนด์นำไปต่อยอดก็จะทำให้พบกับกลุ่ม Audience ที่ Specific กับตัวธุรกิจได้มากขึ้น
เพราะด้วยเนเจอร์ของตัวผู้ใช้ Facebook เองที่ไม่ได้มายด์มากเกี่ยวกับคอนเทนต์ที่ต้องเจาะจงเพื่อพวกเขามาก เพราะพวกเขานั้นก็อยากให้คอนเทนต์ตัวเองแมสเหมือนกัน ดังนั้นโพสต์หน้าฟีดจึงเริ่มไม่ค่อยน่าสนใจเท่า Subculture แล้ว (จากการสำรวจพบว่า ผู้ใช้ 43.2% รู้สึกว่าหน้าฟีดไม่ค่อย Relevant แล้ว)
Instagram คอนเทนต์ต้องชิค

อย่างที่รู้ ๆ กันว่าเมื่อ CEO ของ IG ได้ออกบอกมาว่า IG ไม่ใช่แพลตฟอร์มแชร์รูปอีกต่อไป และจะกลายเป็นแอป ฯ ที่ให้ความบันเทิงแทน ในเมื่อเป็นแบบนี้ Piority ของผู้ใช้ย่อมเปลี่ยน ทำให้คอนเทนต์ประเภทตลกเฮฮา (Funny) กลายเป็นคอนเทนต์ที่ผู้ใช้ต้องการมากที่สุด
ประจวบเหมาะกับช่วงที่โควิดระบาด UGC (User Generated Content) เลยบูมและถูกแชร์อย่างมากในโลกโซเชียล แต่อย่างไรก็ตามเหล่า Instagrammer ก็ยังต้องคงคอนเซปต์ ‘ความชิค’ ไว้อยู่เสมอ สอดคล้องกับผู้ใช้จำนวน 23% ชอบเข้าถึงแบรนด์ที่ดูชิคหรือคูลมากกว่า
Twitter บางส่วนยังเป็นความหวังของสังคม

Twitter ถือว่าเป็นแพลตฟอร์ม Microblogging คล้ายพันทิปในบ้านเราเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเนื้อหาในแพลตฟอร์มนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นทางการจ๋าเสมอไปค่ะ เพราะจากความเกร็งนี้ทำให้ผู้ใช้ unliked หรือ unfollowed แบรนด์ไปแล้วกว่า 35% ในเดือนที่ผ่านมา
จริงอยู่ที่เนื้อหาในทวิตเตอร์นั้นจะออกไปในแนวตลกขบขัน แต่แท้จริงแล้วนั้นชาวทวิตเตอร์ไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เพราะพวกเขาสนใจในเรื่องของการเอนเกจ มีส่วนร่วม มากกว่าที่จะมาเสพอะไรขำ ๆ แล้วผ่านไป
Conversation จึงสำคัญกว่า Monologue สำหรับแพลตฟอร์มนี้ ดังนั้นสำหรับนักการตลาดแล้ว ผู้ใช้นั้นคาดหวังที่จะให้แบรนด์รับฟังพวกเขามากกว่าที่จะให้ความรู้แก่พวกเขา (51% VS 38%)
TikTok คอนเทนต์เน้นตลกและครีเอท

ขึ้นแท่นมาเลยอันดับหนึ่งในเรื่องของคอนเทนต์ประเภท Funny ที่ผู้ใช้อยากเห็นบนหน้าเพจมากที่สุด ดังนั้นแบรนด์ที่นำเสนอภาพลักษณ์ตลกแบบไม่ห่วงสวยกันจึงจะได้รับความสนใจจากผู้ใช้ในแพลตฟอร์มนี้ เพราะผู้คนนั้นต่างยกให้ติกตอกเป็นเหมือนพื้นที่ที่คอยปลดปล่อยความติ๊งต๊องออกมา
ตัวอย่างของแบรนด์ที่ทำออกมาได้ดีก็คือ Duolingo แอป ฯ นกฮูกเขียวสอนภาษาที่หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกัน ซึ่งผลก็คือแบรนด์นี้ดูเป็นบุคคลจับต้องได้มากขึ้น และสามารถเข้าถึงกลุ่ม Audience ที่อายุน้อยได้ดี
สุดท้ายนี้เราก็ต้องกลับมาทำการบ้านกันอีกรอบว่าในคอนเทนต์ของแต่ละทอปปิคที่เราอยากนำเสนอออกไปในแต่ละแพลตฟอร์มนั้นต้องนำเสนอในเวย์ที่แตกต่างกันไป เพื่อการมองเห็นและการเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพที่สุดนั่นเองค่ะ
อ้างอิง : GWI
CONTENT TIPS
Shopee ลงแข่งสนามเดือด Food Delivery พร้อมงัดไม้เด็ดพิชิตใจลูกค้า
Published
2 เดือน agoon
11 เมษายน 2022By
Thanakarn
กลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์ม E-commerce ชื่อดังอย่าง Shopee บุกตลาด Food Delivery ทั่วไทย หลังจากได้เปิดตัวก่อนหน้านี้ที่ประเทศอินโดนีเซีย ได้ผลตอบรับดีเกินคาด ยอดดาวน์โหลดแอปกว่า 500,000 คน พร้อมร้านค้าพาร์ทเนอร์เข้าร่วมกว่า 500 ร้าน
หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ธุรกิจ Food Delivery เติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป Work From Home ตามมาตรการของระงับการแพร่ระบาดของรัฐบาล จึงไม่สามารถเดินทางไปข้างนอกได้สะดวกกว่าเช่นเคย ดังนั้นช่องทางออนไลน์ จึงตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคมากที่สุด

โดยจากผลสำรวจของ Nielsen Thailand กลุ่มพฤติกรรมผู้บริโภคช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ ปี 2565 เผยว่า กลุ่มร้านอาหาร และ แอปสั่งซื้ออาหาร มีอัตราการเติบโตสูงถึง 647% แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มคุ้นชินกับการสั่งอาหารผ่านแอป และคาดว่าหลังจากวิกฤตโควิด-19 หายไป ธุรกิจ Food Delivery ก็ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คาดการณ์ ธุรกิจ Food Delivery ในปี 2565 มีแนวโน้มโตเพิ่มขึ้นประมาณ 4.5% หรือมูลค่าตลาด 7.9 หมื่นล้านบาท กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของศึกสงครามแย่งชิงบัลลังค์ส่วนแบ่งการตลาด Food Delivery อย่างดุเดือด
พื้นที่ยังเหลือ Shopee Food ขอร่วมจอยหน่อย
หลังจากที่ AirAsia เปิดตัวบริการฟู้ดเดลิเวอรี่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุดขอต้อนรับน้องใหม่ Shopee Food เพิ่มอีกหนึ่งราย แพลตฟอร์มอี คอมเมิร์ซเจ้าใหญ่ ผู้ให้บริการสินค้าออนไลน์ พร้อมฐานลูกค้าเก่ามากมาย ที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Grab Foodpanda หรือ Line man ไม่ควรพลาดเด็ดขาด

โดยกลยุทธ์ที่จะเอามาพิชิตใจไรเดอร์ ครองใจลูกค้า สร้างความมั่นใจเลือกใช้บริการ
- รอบวิ่งเยอะ 24 ชั่วโมง : เนื่องจาก Shopee มีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้ว สร้างความมั่นใจให้แก่ไรเดอร์เพิ่มโอกาสรอบวิ่งตลอดทั้งวัน
- ออเดอร์เพียบ : แอปพลิเคชันช้อปปี้เป็นอีกหนึ่งแอปที่มีฐานข้อมูลลูกค้ามากมาย พร้อมช่องทางการชำระแสนสะดวกผ่านช้อปปี้ และ Shopee Pay เพื่อเพิ่มโอกาสรับออเดอร์ได้มากขึ้น
- รับงานเท่าเทียม : ได้มีการตั้งมาตรการแบ่งขั้นการรับงานอย่างเท่าเทียม ด้วยอุปกรณ์เซ็ตใหญ่ หรือ เล็ก ก็วิ่งได้เหมือนกัน
- แจกงานให้เท่ากัน : ระบบการกระจายงานให้แก่ไรเดอร์อย่างเท่าเทียม ไม่มีการทุจริตจ่ายงานลำเอียง

เทรนด์ธุรกิจ Food Delivery เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งทางShopee มองเห็นถึงโอกาสเทรนด์ธุรกิจ FoodDelivery เติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงตัดสินใจลงแข่งสนามเดือดในครั้งนี้ด้วย หากดูมูลค่าตลาดรวมย้อนในแต่ละปีจะเห็นได้ว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปี
- ปี 2563 มูลค่าตลาด 68,000 ล้านบาท
- ปี 2564 มูลค่าตลาด 74,000 ล้านบาท
- ปี 2565 คาดว่ามูลค่าตลาด 82,000 ล้านบาท
- ปี 2566 คาดว่ามูลค่าตลาด 90,000 ล้านบาท
จากข้อมูลดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบของธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ หลังจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ผู้บริโภคนิยมเลือกใช้บริการแอปสั่งซื้ออาหาร อีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป
สาเหตุของการเติบโตธุรกิจ Food Delivery
ปัจจัยหลักสำคัญของอัตราการเติบโตของธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ เกิดจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ผลักดันให้ผู้คนเข้าสู่โลกออนไลน์โดยปริยาย นอกจากจะอำนวยความสะดวกสบาย รวดเร็ว ยังมีโปรโมชั่น คูปองส่วนลดต่างๆ ของพาร์เนอร์ร้านอาหารชื่อดังมากมาย พร้อมส่งตรงความอร่อยให้ถึงบ้าน
อย่างไรก็ตามShopee ลุยธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การแข่งขันยังคงมีแนวโน้มรุนแรงทวีคูณเรื่อยๆ ซึ่งทุกแบรนด์ต่างงัดกลยุทธ์เพื่อเอาใจผู้ประกอบการร้านอาหาร ไรเดอร์ และผู้บริโภค โดย EIC คาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าวิกฤตโควิด-19 คลี่คลายลง แนวโน้มธุรกิจแอปส่งอาหารยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือว่าShopeeFood ยังคงเป็นที่น่าจับตามองอย่างมากในไทย
อ้างอิง : shopeefood / thansettakij / bangkokbiznews.

เปิดเบื้องหลังกลยุทธ์การตลาดกระจายสินค้าพรีเมียมให้แมส ของช็อกโกแลต Godiva

แบรนด์กับการแสดงจุดยืน เพราะแค่ขายของอย่างเดียวมันไม่พอ

สรุป 5 เทรนด์พฤติกรรมแต่ละ Gen เลือกเสพสื่อบันเทิงปี 2022 ที่ควรรู้

10 ไอเดียทำ VDO Content ลง IG ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มขึ้น

4 เสาหลักสำคัญ ของการทำ Customer Retention

โลตัส Pet Us เจาะกลุ่ม Pet Humanization เทรนด์ ตลาดสัตว์เลี้ยง กำลังมาแรง!!

คาดการณ์จากนักวิเคราะห์ Gartner : หาก Netflix มีโฆษณา

OOH กำลังกลับมา : เปิด 4 อินไซต์เพื่อสร้างอิมแพคให้เวิร์กกว่าเดิม

คอนเทนต์แบบไหนโดนใจผู้ใช้ Facebook, IG, Twitter, TikTok มาที่สุด ฉบับปี 2022

JoJo Maman Bébé พร้อมเข้าสู่การผลัดเปลี่ยนไปสู่ยุคใหม่

แจกฟรี 6 ฟอนต์ ภาษาไทยทางการ

“10 เทรนด์แห่งปี 2020” ที่นักการตลาดต้องรู้!! จาก DATA ลับของ Pinterest

เอาใจคนอยากฝึกภาษาให้เก่ง ด้วย Subtitle บน Netflix พร้อมกัน 2 ภาษา

นักศึกษาจีน โอกาสใหม่ของ (ธุรกิจ) มหาวิทยาลัยไทย?

โหลดฟรี! 40 Duotone Gradient Presets For Photoshop

พี่มาร์ค LIVE เปิดตัว ฟีเจอร์ใหม่จาก “Facebook Shop” ที่เติมเต็มคนขายของแบบเต็มสตรีม

7 เทรนด์ Content Marketing ปี 2021 ที่สายคอนเทนท์ต้องอ่าน!

สื่อชี้! กรมสรรพากร เล็งจะ ตรวจสอบภาษีโดยตรง ขายของออนไลน์หนาวแน่

ข่าวดี! Harvard เปิดให้เรียนออนไลน์ Computer Science ฟรี 9 คอร์ส – ตั้งแต่ For Business ไปจนถึงเขียนเกมส์

อนุมัติแล้วรถไฟฟ้าเชียงใหม่ เริ่มสร้างปี 64 จะผ่านบ้านใครบ้างมาดูกัน
Trending
- CREATIVITY3 ปี ago
แจกฟรี 6 ฟอนต์ ภาษาไทยทางการ
- NEWS UPDATE2 ปี ago
“10 เทรนด์แห่งปี 2020” ที่นักการตลาดต้องรู้!! จาก DATA ลับของ Pinterest
- LIFESTYLE3 ปี ago
เอาใจคนอยากฝึกภาษาให้เก่ง ด้วย Subtitle บน Netflix พร้อมกัน 2 ภาษา
- EDUCATION3 ปี ago
นักศึกษาจีน โอกาสใหม่ของ (ธุรกิจ) มหาวิทยาลัยไทย?
- CONTENT TIPS3 ปี ago
โหลดฟรี! 40 Duotone Gradient Presets For Photoshop
- EDUCATION2 ปี ago
พี่มาร์ค LIVE เปิดตัว ฟีเจอร์ใหม่จาก “Facebook Shop” ที่เติมเต็มคนขายของแบบเต็มสตรีม
- CONTENT TIPS1 ปี ago
7 เทรนด์ Content Marketing ปี 2021 ที่สายคอนเทนท์ต้องอ่าน!
- MARKETING TIPS3 ปี ago
สื่อชี้! กรมสรรพากร เล็งจะ ตรวจสอบภาษีโดยตรง ขายของออนไลน์หนาวแน่