INNOVATION
เจาะลึกพฤติกรรมกลุ่ม “Flexitarian” ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันตลาด Plant-based ให้เติบโต!
โลกของเราหมุนไปข้างหน้าฉันใด นวัตกรรมใหม่ ๆ ก็ได้เกิดขึ้นตามฉันนั้น เช่นเดียวกับนวัตกรรมอาหารแห่งโลกอนาคตอย่าง Plant-based Food เนื้อสัตว์ที่ทำจากพืชที่ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันตลาดนี้คือกลุ่ม “Flexitarian”
Published
12 เดือน agoon
By
Lali
โลกของเราหมุนไปข้างหน้าฉันใด นวัตกรรมใหม่ ๆ ก็ได้เกิดขึ้นตามฉันนั้น เช่นเดียวกับนวัตกรรมอาหารแห่งโลกอนาคตอย่าง Plant-based Food เนื้อสัตว์ที่ทำจากพืชที่ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันตลาดนี้คือกลุ่ม “Flexitarian”
เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมการเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ หรือพยายามลดการบริโภคอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ให้น้อยลง ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสัตว์ แต่ก็ไม่ได้เคร่งครัดมากเหมือนกลุ่ม Vegan และ Vegetarian
คำว่า “Flexitarian” เป็นคำศัพท์ที่ถูกบัญญัติขึ้นใหม่ ที่เพิ่งจะถูกเพิ่มลงใน Oxford English Dictionary เมื่อ 2014 โดยที่คุณ Dawn Jackson Blatner ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ Flexitarian Diet ได้ให้คำนิยามของวิถีการกินนี้ไว้ว่า
“คุณสามารถเรียกการกินแบบนี้ว่า ‘เกือบจะมังสวิรัติ’ ก็ได้ เพราะนี่คือวิถีการกินที่คุณยังสามารถได้รับประโยชน์ของการกินอาหารแบบมังสวิรัติ ไปพร้อม ๆ กับการเพิ่มโปรตีนจากเนื้อสัตว์ในบางโอกาส”

ทำไมคนถึงให้ความสนใจ ในการกินแบบ Flexitarian?
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 5-10 ปีก่อนหน้า เราเองคงจะอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่ถือศีล ไม่อยากเบียดเบียนสัตว์ แต่ในยุคปัจจุบันกลับไม่เป้นเช่นนั้น เมื่อคนหนุ่มสาวในยุคมิลเลนเนียลจำนวนมากหันมาใส่ใจในรูปแบบการกินแบบมังสวิรัติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไลฟ์สไตล์การกินมังสวิรัติที่มีความยืดหยุ่น สามารถกินเนื้อสัตว์ได้บ้าง แต่ก็ยังคงยึดถือหลักการกินเนื้อสัตว์ให้ลดน้อยลงร่วมด้วย
จากข้อมูลของ The Vegan Society ได้มีการเปิดเผยว่าเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เทรนด์การทานอาหารแบบมังสวิรัติทุกประเภทท ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลกสูงถึง 9.87 เท่าจากปี 2017 และในปัจจุบันนี้เองพบว่าประชากรของประเทศอเมริกามีคนที่กินอาหารมังสวิรัติประมาณ 7.3 ล้านคน
และคนอีก 22.8 ล้านคน ที่ระบุว่าตนเองเน้นการกินผักมากขึ้น และขณะเดียวกันก็มีผลการรายงานจาก Waitrose ที่บอกว่าชาวอังกฤษ 1 ใน 3 คนบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง และ 1 ใน 5 ระบุว่าตนเองคือ Flexitarian
และจากการวิจัยทำให้พบว่า 29% ของผู้บริโภคทั่วโลกมีพฤติกรรมการกินแบบนี้ โดยในประเทศไทยเองก็ได้มีการสุ่มสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คน พบว่ามีพฤติกรรมการเว้นเนื้อสัตว์แบบ Flexible อยู่ถึง 28% บางคนไม่กินเนื้อวัว สัตว์ใหญ่ หรือสัตว์ปีก รวมถึงบางคนเว้นเนื้อสัตว์ในเดือนเกิดหรือวันเกิด ในวันพระ หรือเว้นในบางมื้อ
ซึ่งปัจจัยในการบริโภคนี้ มีหลายสาเหตุด้วยกัน คือ..
- 86% อยากสุขภาพดีขึ้น
- 31% เพราะเหตุผลทางศาสนา และความเชื่อต่าง ๆ
- 19% ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- 11% การเว้นเนื้อเพื่อช่วยลดโลกร้อนและช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อม
อยากทานแบบ “Flexitarian” ควรเริ่มต้นยังไงดี?
สำหรับชาวที่รักการทานเนื้อท่านไหน เริ่มสนใจที่จะทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น สามารถทำได้เลยง่าย ๆ เนื่องจากไม่ได้มีกฎในการทานแบบเต็มตัว อาจจะสามารถทำได้โดยการค่อย ๆ ลดปริมาณเนื้อสัตว์ที่ท่านในแต่ละมื้อให้ลดลง ทานเนื้อให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะนิยมทานเนื้อไม่เกิน 3 มื้อ ต่อสัปดาห์
ทานอาหารที่ให้พลังงานทดแทนจำพวกคาร์โบไฮเดรตอย่างข้าว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวกล้องงอก ทานผักใบเขียว และผลไม้มาก ๆ เพื่อให้ได้รับวิตามินที่เพียงพอ รวมไปถึงการทานโปรตีนที่ได้มาจากพืชจำพวกถั่วต่าง ๆ หรืออาหารประเภท Plant-based Food ก็ได้เช่นกัน ที่สำคัญอาจจะมีการเสริมด้วยโปรตีนประเภทเนื้อสัตว์บ้างบางมื้อ เช่นเนื้อปลา ไข่ นม เป็นต้น
ทำความรู้จัก Plant-based Food ให้มากขึ้น!
Plant-based Food คือ อาหารที่ทำมาจากพืชเป็นหลักประมาณ 95% ส่วนใหญ่ทำมาจากพืช ผักใบ ผักกินหัว ผลไม้ เห็ดต่าง ๆ รวมไปถึง ถั่ว ธัญพืช เมล็ดพืช ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากถั่วและธัญพืช เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ น้ำนมถั่วหลากหลายชนิด
เป็นอาหารที่เรียกได้ว่าอาหารแห่งอนาคต เพราะช่วยในเรื่องของสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาพบว่าการซื้อเนื้อเสต๊ก 1 กิโลกรัม
ต้องใช้น้ำในกระบวนการเลี้ยงและผลิตเนื้อวัว เพื่อมาทำเสต๊กมากถึง 15,415 ลิตร ในขณะที่ผัก 1 กิโลกรัม ใช้น้ำในการเพาะปลูกประมาณ 322 ลิตร และผลไม้ 1 กิโลกรัม ใช้น้ำในการเพาะปลูกประมาณ 962 ลิตร ซึ่งถือว่าน้อยกว่ามาก
นอกจากนี้ยังพบว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบครึ่งหนึ่งที่มนุษย์เป็นผู้ปล่อยออกมาเกิดจากกระบวนการเลี้ยงสัตว์และผลิตเนื้อสัตว์ โดยกระบวนการผลิตเนื้อสเต๊ก 1 ชิ้น จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเท่ากับการขับรถระยะทางถึง 25 กิโลเมตร ขณะที่การเพาะปลูกเพื่อที่จะได้ผัก 1 กิโลกรัม จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเท่ากับการขับรถระยะทาง 7.2 กิโลเมตร เท่านั้น
อีกทั้งการทานอาหารจาก Plant Based ยังช่วยในเรื่องของสุขภาพเนื่องจากเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าโคเลสเตอรอลน้อย หรือแทบจะไม่มีเลย รวมถึงมีใยอาหารและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย

ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างนี้เองทำให้พฤติกรรมการทานอาหารของคนในยุคใหม่เปลี่ยนไป เริ่มมีการใส่ใจสิ่งแวดล้อม รวมถึงสุขภาพของตนเองมากยิ่งขึ้น
จากการรีเสิร์ชของ Mintel สถาบันวิจัยตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคระดับโลกได้รายงานไว้ว่าการกินแบบ Flexitarian ได้รับความนิยมโดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บริโภคในแถบประเทศยุโรปตั้งแต่ปี 2014-2018 โดยรายได้จากเนื้อเทียมที่ทำจากพืช เติบโตขึ้นมากถึง 451% ขณะเดียวกันผู้บริโภคชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีชาวมังสวิรัติ และวีแกนในปี 2012-2016 เพิ่มขึ้นถึง 440%
ซึ่งพฤติกรรมการบริโภคมังสวิรัติแบบยืดหยุ่นแบบนี้เอง ที่ส่งผลต่อการผลักดันให้ตลาด Plant-based Food เติบโตขึ้นตามไปด้วย โดยข้อมูลจาก EUROMONITOR พบว่า มูลค่าตลาด Plant-based Foods ทั่วโลกในปี 2019 มีมูลค่าสูงถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทนอยู่ที่ราว ๆ 4.9 แสนล้านบาท และจะเติบโตเฉลี่ย 105% ซึ่งมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดในปี 2024 จะเติบโตขึ้นไปอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทนอยู่ที่ราว ๆ 7.5 แสนล้านบาท เนื่องจากกระแสการรับประทานอาหารแบบมังสวิรัตแบบยืดหยุ่นมีกระแสความนิยมเพิ่มมากกขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
ยกตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำการเจาะกลุ่มลูกค้า ที่นิยมทาน “มังสวิรัติแบบยืดหยุ่น” ในประเทศไทย!
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประเทศไทยเองก็กำลังมีกระแสมาแรง อย่างการทานอาหารที่ทำมาจากพืช จึงทให้บริษัทยักษ์ใหญาเริ่มเข้ามาทำการตลาด “Plant Based Food” ในประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น..
Nestlé

บริษัท Nestlé ที่ส่งเอา Harvest Gourmet บุกตลาด Plant-based ในไทย โดยตัวแบรนด์ Harvest Gourmet จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพืช และธัญพืชต่าง ๆ สิ้นค้าภายใต้แบรด์นี้เองก็มีให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น เบอร์เกอร์เนื้อ , ไส้กรอก, นักเก็ต, เนื้อสับ ฯลฯ
โดยตลาดที่เข้ามาทำในไทย จะมีลักษณะเป็นแบบ B2B ที่จะจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการด้านธุรกิจอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร , โรงแรม เป็นต้น
Burger king

Burger king เปิดตัว Plant-Based Whopper ครั้งแรกในประเทศไทย ทำจากวัตถุดิบแพลนต์เบสจากพืช 100% ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรกในธุรกิจ QSR ในไทยที่วางขายเบอร์เกอร์ที่ทำจากพืชเลยทีเดียว
ซึ่งเนื้อในเบอร์เกอร์จะมีการนำมาย่างไฟ เพื่อให้รสชาติที่ได้มีความคล้ายคลึงกับเนื้อจริง ๆ มากที่สุด ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่มุ่งเน้นในการขยายตลาดนี้คือ ผู้บริโภคที่ชอบความรวดเร็ว และรักสุขภาพ
CPRAM

CPRAM ผู้ผลิตอาหาร Ready to Eat รายล่าสุด ที่ได้ทำการผลิตสินค้าประเภท Plant Based มาวางขายในตลาดประเทศไทย ผ่านแบรนด์ใหม่ “VG for Love”
ด้วยความที่ได้เปรียบในแง่ของการผลิต เพราะมีโรงงานพร้อมรองรับอยู่แล้ว รวมถึงการมีช่องทางขายอย่างร้าน 7-Eleven จึงช่วยสนับสนุนโอกาสการขายก็ยิ่งทำให้แบรนด์ VG for Love น่าจะทำตลาดได้ง่ายและแจ้งเกิดได้ไวกว่าแบรนด์อื่น
CPF

CPF ได้จับมือกับบริษัทด้าน Plant-based ระดับโลกอย่าง Fuji Oil จากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาแบรนด์ MEAT ZERO ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืชแบบพร้อมทานและพร้อมปรุง
ตัวบริษัทมีเอกสิทธ์เฉพาะที่เรียกว่า “PLANT-TEC หรือ เทคนิคการสร้างรสสัมผัสพืชเสมือนเนื้อสัตว์” เพื่อพัฒนาโปรดักท์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การกินดีอยู่ดี รักษ์โลก
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัทที่ได้เข้ามาทำการตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค “มังสวิรัติ” แบบยืดหยุ่นเป้นจำนวนมาก
และคาดว่าในอนาคตข้างหน้านี้ จะมีอีกหลายบริษัทที่จะเข้ามาลงทุนในด้านตลาดนี้เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคแบบ “Flexitarian” อีกไม่มากก้น้อยอย่างแน่นอน!
อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Plant-based Food ได้ที่ นวัตกรรมใหม่แห่งยุค “3D Printed meat” เนื้อสัตว์ยุคใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลจาก
สสส.
Marketee
Nestle
Marketing oops
Marketing oops
The Beet
Brand inside
You may like
INNOVATION
US Banks สร้างรายได้ก้อนโตจากหนี้ของรัสเซีย พร้อมพลิกวิกฤติเป็นโอกาส!!
Published
2 เดือน agoon
11 เมษายน 2022
US Banks หรือธนาคารสหรัฐฯ ถึงแม้จะถอนออกจากรัสเซียแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถทำกำไรจากรัสเซียได้ กลับกันนี่อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้พวกเขาสามารถเก็งกำไรได้อย่างรวดเร็ว
การขายหนี้ของรัสเซียนั้นเชื่อมโยงกับประธานาธิบดีรัสเซีย ‘Vladimir Putin’ และ ‘การคว่ำบาตร’ จาก Joe Biden จนมาถึงเหตุการณ์ที่ US Banks ได้ถอนตัวออกจากรัสเซีย ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดช่องทางสำหรับการเก็งกำไรรูปแบบใหม่ในการลงทุน ซึ่งถูกมองว่าเป็นวิธีที่ทำกำไรได้ง่ายแต่ไม่ค่อยได้การยอมรับ
แนวคิดนี้คือสิ่งที่เรียกว่า “การค้าพื้นฐานเชิงลบ” ในที่นี้หมายถึงการซื้อพันธบัตรรัสเซียในราคาถูก ควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนเครดิตไปเป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งทำหน้าที่เป็นประกันการผิดนัดชำระหนี้ที่อาจเกิดขึ้นของผู้กู้ โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กนิวส์ระบุว่า ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ของรัสเซียเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี
ข้อมูลจากเว็บไซต์ MarketAxess แสดงให้เห็นว่าหนี้ของรัสเซียมีการซื้อขายในปริมาณ 7 พันล้านดอลลาร์ฯ ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ถึง 7 เมษายน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากถึง 5 พันล้านดอลลาร์ฯ ในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564
Philip M. Nichols ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซียและความรับผิดชอบต่อสังคมในธุรกิจ และศาสตราจารย์ University of Pennsylvania’s Wharton School กล่าวว่า การซื้อขายพันธบัตรของรัสเซียกำลังซื้อขายกันอย่างดุเดือด มีนักเก็งกำไรจำนวนมากที่ซื้อพันธบัตรเหล่านี้ ซึ่งราคาจะถูกลดระดับอย่างมาก จนเหมือนกับได้มาฟรี ๆ
ในขณะเดียวกัน อัตราพันธบัตรกลับลดลงอย่างมาก โดยพันธบัตรจะครบกำหนดชำระในปี 2571 ถูกซื้อขายที่เพียง 0.34 ดอลลาร์ต่อดอลลาร์ นั่นหมายความว่าอาจต้องใช้เงินมากกว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการทำประกันหลักทรัพย์ของรัสเซียที่ต้องชำระ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สถาบันการเงินของสหรัฐฯ เช่น JPMorgan Chase และ Goldman Sachs กำลังอำนวยความสะดวกในการซื้อขายเหล่านี้ โดยตัวแทนของ JPMorgan กล่าวว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลาง และเพียงต้องการช่วยเหลือลูกค้าเท่านั้น “ในฐานะผู้ดูแลสภาพคล่อง เราได้ช่วยลูกค้าลดความเสี่ยงและจัดการความเสี่ยงของพวกเขาต่อรัสเซียในตลาดรอง” โฆษกกล่าว
โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะประเมินมูลค่าหนี้ของรัสเซียโดยพิจารณาว่าจะได้รับการชำระคืนหรือไม่? และความน่าจะเป็นที่จะได้รับการชำระคืนจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจรัสเซีย
แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้มีมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งขัดขวางไม่ให้รัสเซียเข้าถึงเงินดอลลาร์ใด ๆ ที่พวกเขาถืออยู่ในธนาคารสหรัฐฯ และอาจเป็นการเพิ่มโอกาสให้รัสเซียผิดนัดชำระหนี้ได้ ซึ่งนั่นอาจไม่เป็นผลดีต่อรัสเซียมากนัก
รัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐฯ ลงมติในสัปดาห์นี้เพื่อยกเลิกสถานะการค้าของประเทศรัสเซีย เป็นการปูทางสำหรับการคว่ำบาตรที่ล้ำลึกมากยิ่งขึ้น ซึ่งการยกเลิกสถานะดังกล่าวจะขัดขวางการรวมตัวของรัสเซียกับเศรษฐกิจโลก เหล่านักลงทุนคงจะต้องจับตามองกันต่อไปว่า “รัสเซียจะเดินหมากเศรษฐกิจในตานี้อย่างไร?”
INNOVATION
เชียงใหม่ เปิดตัว Blockchain City ที่แรกในไทยและอาเซียน
Published
3 เดือน agoon
17 กุมภาพันธ์ 2022By
Fai Kunlada
หรือนี่อาจจะเป็นความวังใหม่ของวงการ Start-up บ้านเรา? เมื่อจังหวัดเชียงใหม่จะกลายเป็น Blockchain City หรือ Crypto City แห่งแรกของไทยและอาเซียน
โปรเจคนี้มีชื่อว่า Chiangmai Crypto City (CCC) โดย Crypto City นี้จะเป็น Decentralized Open Source Platform บน Smart Contract ซึ่งตัวอย่างจริงของระบบแพลตฟอร์มนี้ถูกนำไปใช้แล้วที่ไมอามี สหรัฐฯ , ซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์, เบอร์ลิน เยอรมนี, สิงคโปร์, โซล เกาหลีใต้
และที่ที่ประสบความสำเร็จกับโปรเจคนี้มากที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นเมือง Zug ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ ติดทะเลสาป แต่มูลค่าการตลาดในปัจจุบันกลับมีค่าเท่า ๆ งบประมาณประเทศไทยประมาณ 6 ปีนิด ๆ รวมกันเลยทีเดียว ตอนนี้เมืองแห่งนี้จึงได้รับการยกย่องให่เป็นเมืองแห่ง Start-up ของสวิตเซอร์แลนด์ไปแล้ว
“โปรเจ็คต์ Chiangmai Crypto City (CCC) จะเป็น Social Enterprise Platform ที่ยินดีต้อนรับผู้ที่ประสงค์จะเข้ามาร่วมพัฒนาองค์กรและชุมชน โดยไม่จำกัดว่าเป็นแค่คนในจังหวัดเชียงใหม่ หรือ คนไทย รวมไปถึงไม่จำกัดเรื่องอายุ อาชีพ และ ระยะเวลาการเข้าร่วม สิ่งที่น่าจับตามองคือ หากโปรเจกต์นี้ประสบความสำเร็จจริง ก็จะสามารถช่วยบ่มเพาะให้เกิดบริษัท Unicorn ใหม่ ๆ ขึ้นมา และสามารถช่วยสร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจไทยผ่านโลกธุรกิจยุคดิจิทัลได้”
พญ. นวพร นะลิตา Project Manager
สำหรับใครที่ยังสงสัยว่า Crypto City คืออะไร และมีวิธีการทำงานยังไงนั้น ฝ้ายมีอธิบายคร่าว ๆ มาให้ค่ะ
อ้างอิงจากบทความของ Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Etherum (ETH) ได้กล่าวถึงแนวทางของโปรเจค Crypto Cities ว่าเป็น Decentralized Autonomous Organization (DAO) หรือองค์กรที่สามารถปกครองตนเองที่สามารถให้ผู้ใช้ออกสิทธิ์ออกเสียงโหวตแก้ไขโปรโตคอลได้ ตามจำนวนเหรียญที่ถืออยู่เป็นต้น
ซึ่งบทบาทที่เขคาดหวังให้เกิดขึ้นกับโลกจริงจาก Crypto Cities คือ
- ควรทำหน้าที่เป็นแหล่งสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับรัฐบาล
- ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจระหว่างผู้อยู่อาศัยกับเมือง
- ส่งเสริมการออมและสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
- ส่งเสริมความคิดริเริ่มในการพัฒนาด้านสังคม
- ลดความเหลื่อมล้ำของสถานะทางการเงิน
(ข้อมูลจาก : https://cryptosiam.com/buterin-share-pros-of-establish-crypto-cities/ )
พอเห็นภาพรวมกันแล้วใช่ไหมคะว่าหากโปรเจคนี้ในบ้านเราเติบโตแและได้รับการสนับสนุนไปด้วยดี ในอนาคตทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะเติบโตกันในประเทศบ้านเกิดตัวเองกันได้ค่ะ
ตอนนี้ทาง Chiangmai Crypto City (CCC) ก็ได้เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโปรเจคกันแล้ว ใครที่สนใจก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดกันใน thread ทวิตนี้เลยค่ะ https://twitter.com/tdokdak/status/1493431706933936134
ที่มา :
INNOVATION
ไปโลกหน้าแล้ว! ล่าสุด ร้านสะดวกซื้อญี่ปุ่นเปิดตัว ‘แคชเชียร์โฮโลแกรมที่แรกของโลก’
Published
4 เดือน agoon
3 กุมภาพันธ์ 2022By
Fai Kunlada
ญี่ปุ่นยังไงก็คือญี่ปุ่น! อยากลดการสัมผัส ลดการติดโควิด ก็ทำแคชเชียร์โฮโลแกรมไปเลยสิคะ!
ล่าสุดไปโลกหน้ากันแล้วกับ “Digi POS” เครื่อง Contactless self-checkouts หรือแคชเชียร์โฮโลแกรมที่แรกของโลกในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven

ซึ่งเจ้าเครื่องคิดเงินนี้ถูกเคลมว่าเป็น แคชเชียร์ที่มีเทคโนโลยีแสดงผลหน้าจอบนอากาศเครื่องแรกของโลก (สามารถเข้าไปดูวิดีโอการใช้งานจริงได้ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ https://youtu.be/1eG-Hv5tgdU )
ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นั้นเทคโนโลยีหน้าจอแสดงผลบนอากาศ (Aerial displays) นั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก มักจะใช้แค่ในงานโรงแรม , งานออฟฟิศ , Digital Signage โดยหนึ่งในบริษัทผู้ร่วมโปรเจคอย่าง Toshiba Tec ได้กล่าวว่านี่คือครั้งแรกที่เรานำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับระบบ POS
ในระยะเริ่มแรกที่เริ่มติดตั้งเครื่องคิดเงินนี้ ลูกค้าจะใช้คิดเงินได้แค่สินค้าทั่วไปที่ขายในร้าน แต่ยังไม่สามารถใช้คิดเงินสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ , บุหรี่ , สแตมป์ , โปสการ์ด , ค่าขนส่ง courier , จ่ายบิล , เติมเงิน , Voulcher



เจ้าตัว POS นี้เป็นการร่วมงานกันระหว่าง 6 บริษัท
- Toshiba Tec ผู้คิดค้นระบบ POS และรับหน้าที่ติดตั้งภายในร้านสะดวกซื้อ
- 7-Eleven
- Asukanet Development
- Kanda Kogyo Development
- Mitsui Chemicals Development
- Mitsui Bussan Plastic
ตัวเครื่องแคชเชียร์โฮโลแกรมได้ถูกนำไปติดตั้งและเปิดให้ใช้จริงใน 7-Eleven เมืองโตเกียวก่อน 6 สาขาแล้วเมื่อวันที่ 1 กุมภาฯ ที่ผ่านมา
ที่มา : Sora News 24

เปิดเบื้องหลังกลยุทธ์การตลาดกระจายสินค้าพรีเมียมให้แมส ของช็อกโกแลต Godiva

แบรนด์กับการแสดงจุดยืน เพราะแค่ขายของอย่างเดียวมันไม่พอ

สรุป 5 เทรนด์พฤติกรรมแต่ละ Gen เลือกเสพสื่อบันเทิงปี 2022 ที่ควรรู้

10 ไอเดียทำ VDO Content ลง IG ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มขึ้น

4 เสาหลักสำคัญ ของการทำ Customer Retention

โลตัส Pet Us เจาะกลุ่ม Pet Humanization เทรนด์ ตลาดสัตว์เลี้ยง กำลังมาแรง!!

คาดการณ์จากนักวิเคราะห์ Gartner : หาก Netflix มีโฆษณา

OOH กำลังกลับมา : เปิด 4 อินไซต์เพื่อสร้างอิมแพคให้เวิร์กกว่าเดิม

คอนเทนต์แบบไหนโดนใจผู้ใช้ Facebook, IG, Twitter, TikTok มาที่สุด ฉบับปี 2022

JoJo Maman Bébé พร้อมเข้าสู่การผลัดเปลี่ยนไปสู่ยุคใหม่

แจกฟรี 6 ฟอนต์ ภาษาไทยทางการ

“10 เทรนด์แห่งปี 2020” ที่นักการตลาดต้องรู้!! จาก DATA ลับของ Pinterest

เอาใจคนอยากฝึกภาษาให้เก่ง ด้วย Subtitle บน Netflix พร้อมกัน 2 ภาษา

นักศึกษาจีน โอกาสใหม่ของ (ธุรกิจ) มหาวิทยาลัยไทย?

โหลดฟรี! 40 Duotone Gradient Presets For Photoshop

พี่มาร์ค LIVE เปิดตัว ฟีเจอร์ใหม่จาก “Facebook Shop” ที่เติมเต็มคนขายของแบบเต็มสตรีม

7 เทรนด์ Content Marketing ปี 2021 ที่สายคอนเทนท์ต้องอ่าน!

สื่อชี้! กรมสรรพากร เล็งจะ ตรวจสอบภาษีโดยตรง ขายของออนไลน์หนาวแน่

ข่าวดี! Harvard เปิดให้เรียนออนไลน์ Computer Science ฟรี 9 คอร์ส – ตั้งแต่ For Business ไปจนถึงเขียนเกมส์

อนุมัติแล้วรถไฟฟ้าเชียงใหม่ เริ่มสร้างปี 64 จะผ่านบ้านใครบ้างมาดูกัน
Trending
- CREATIVITY3 ปี ago
แจกฟรี 6 ฟอนต์ ภาษาไทยทางการ
- NEWS UPDATE2 ปี ago
“10 เทรนด์แห่งปี 2020” ที่นักการตลาดต้องรู้!! จาก DATA ลับของ Pinterest
- LIFESTYLE3 ปี ago
เอาใจคนอยากฝึกภาษาให้เก่ง ด้วย Subtitle บน Netflix พร้อมกัน 2 ภาษา
- EDUCATION3 ปี ago
นักศึกษาจีน โอกาสใหม่ของ (ธุรกิจ) มหาวิทยาลัยไทย?
- CONTENT TIPS3 ปี ago
โหลดฟรี! 40 Duotone Gradient Presets For Photoshop
- EDUCATION2 ปี ago
พี่มาร์ค LIVE เปิดตัว ฟีเจอร์ใหม่จาก “Facebook Shop” ที่เติมเต็มคนขายของแบบเต็มสตรีม
- CONTENT TIPS1 ปี ago
7 เทรนด์ Content Marketing ปี 2021 ที่สายคอนเทนท์ต้องอ่าน!
- MARKETING TIPS3 ปี ago
สื่อชี้! กรมสรรพากร เล็งจะ ตรวจสอบภาษีโดยตรง ขายของออนไลน์หนาวแน่