Black Friday ปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
หลายแบรนด์ดังในไทยก็แห่กันลดราคาสินค้ากันอย่างกระหน่ำ ซัมเมอร์เซลล์ไม่แพ้ทางฝั่งประเทศต้นกำเนิดเลยทีเดียว โดยเฉพาะที่เป็นกระแสก็คงจะหนีไม่พ้น Central Department Store ที่ประชาสัมพันธ์กันต่อเนื่องมาหลายวันก่อนหน้านี้
ให้ธุรกิจท้องถิ่นของคุณอยู่รอดในโลกออนไลน์ ผ่านการทำ Local SEO
ปัจจุบันคนค้นหาสถานที่ ร้านค้า ธุรกิจ แม้กระทั่งร้านอาหารที่จะกินผ่าน Google เป็นประจำ มารู้จัก Local SEO ที่ช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นของคุณขึ้นหน้าหนึ่งของ Google ได้
หากพูดถึงการทำให้ธุรกิจติดเทรนด์การค้นหาใน Google หลาย ๆ คนย่อมรู้จัก SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการดันให้หน้าเว็บไซต์หรือหน้าแฟนเพจของตนเองนั้นแสดงผลในหน้าแรกของการค้นหา โดยเป็นการทำการตลาดออนไลน์แบบฟรี ๆ
อะไรคือ Local SEO ?
ในปัจจุบันการค้นหาสิ่งที่เราต้องการ Google มักจะคำนึงถึงพิกัดจากการค้นหาของเราเสมอ ทำให้การค้นหาสิ่งเดียวกันในต่างสถานที่ ผลการค้นหาที่ได้ก็จะไม่เหมือนกัน เช่น การค้นหาคำว่า “ร้านก๋วยเตี๋ยว” ที่กรุงเทพฯ กับที่เชียงใหม่ก็จะแสดงผลที่ต่างกัน ซึ่งการทำ Local SEO นั้น จะส่งผลต่อการค้นหาแบบนี้โดยตรง เพราะ Algorithm การค้นหาของ Google ออกแบบมาเพื่อตอบสนองผู้ค้นหาในแต่ละพื้นที่ โดยสิ่งที่สำคัญในการทำ Local SEO ประการแรก ๆ คือคุณต้องมีโปรไฟล์ Google My Business สำหรับธุรกิจของคุณ
การสร้าง Google My Business ให้ธุรกิจของคุณนั้น ต้องใส่องค์ประกอบให้ดีดังนี้
ชื่อองค์กรธุรกิจ
ที่อยู่ของบริษัทหรือธุรกิจ โดยระบุพิกัดด้วย Google Map
หมายเลขโทรศัพท์ใช้ติดต่อของธุรกิจ
ช่วงเวลาทำการ
ลิงก์เชื่อมต่อไปยัง Website หรือ Fanpage
ประเภทของธุรกิจว่าทำเกี่ยวกับอะไร
และอย่าลืมใส่รูปภาพประกอบให้ครบถ้วนตามที่กำหนด
ซึ่งหลังจากสร้าง Google My Business แล้ว คนที่เคยมาใช้บริการจะสามารถ Review แสดงความคิดเห็นได้ว่าธุรกิจของเราเป็นอย่างไร โดยมีผลต่อ Local SEO อย่างมาก
Google My Business
การใช้ Local SEO Keyword ก็สำคัญไม่แพ้กัน
ในส่วนของการใช้ Keyword ต่าง ๆ เพื่อประกอบ Local SEO นั้นมีผลต่อการค้นหาโดยตรง ลองใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นโดยตรงของเราก็จะทำให้การค้นหาติดหน้าหนึ่งได้ง่ายขึ้น เช่น ประเภทธุรกิจ + พื้นที่ทำการ ตัวอย่าง บะหมี่เจ้าอร่อยหลัง มช. , ร้านกาแฟชิลล์ ๆ ย่านลาดพร้าว โดยส่วนนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน Title เสมอไป อาจจะอยู่ในส่วนอื่นก็ได้
ถ้าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจท้องถิ่นการทำ Local SEO จะช่วยให้ธุรกิจของคุณติดเทรนด์การค้นหาได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้มีผู้เข้ามาใช้บริการเพิ่มจากเดิม ผู้คนในพื้นที่หรือคนที่แวะมารู้จักมากยิ่งขึ้น แม้ธุรกิจของคุณจะไม่ใช่ธุรกิจใหญ่ ก็สามารถดึงดูดลูกค้าเข้ามาเพิ่มได้ ช่วยเพิ่มรายได้ของคุณ และส่งผลให้ธุรกิจอยู่รอดได้ไปอีกยาว
เมื่อรู้จักกับ Data-Driven Marketing แล้ว การเลือกใช้ประเภท “ข้อมูล” ให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพตรงตามโจทย์นั้นก็สำคัญ เพื่อให้การทำ Data-Driven Marketing ของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยพื้นฐานแล้วประเภทของ Data มีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน นั่นก็คือ First Party Data, Second Party Data และ Third Party Data
First Party Data
First Party Data คือ ข้อมูลที่คุณได้เก็บสะสมมาด้วยตัวเองจากกลุ่มผู้ใช้หรือลูกค้าของเราเองโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลผ่านการใช้งานบนเว็บไซต์หรือแอป ฯ ของเรา การติดต่อมาทาง Chat, Inbox, Messenger หรือ LINE ของเรา และอื่น ๆ อีกหลายช่องทางที่เราเก็บมาได้โดยตรงเพียว ๆ ซึ่งแปลว่าข้อมูลชุดนี้เชื่อถือได้แน่นอน
Second Party Data คือ First Party Data ของคนอื่นนั่นเอง ซึ่งวิธีที่จะทำให้เราได้ข้อมูลนี้มาคือการซื้อขายมาตรง ๆ หรือการทำพาร์ทเนอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกัน
ข้อดีของข้อมูลประเภทนี้คือ ทำให้เราปลดล็อกขอบเขตข้อมูลกลุ่มลูกค้าของเราได้มากขึ้น ทำให้เราเข้าใจในบริบทของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่อยู่นอกเหนือจากของแบรนด์เราได้มากขึ้น สรุปคือทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ แล้วลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายเรากำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาน่าจะกำลังคิดอะไรอยู่ และพวกเขากำลังน่าจะต้องการอะไรเป็น Next Best รวมทั้งการนำข้อมูลไปต่อยอดเพื่อทำ Personalized Marketing
แต่การทำพาร์ทเนอร์เพื่อให้ได้มาของ Second Party Data ทั้งสององค์กรต้องมีความไว้ใจกันมากพอที่จะแชร์ผลประโยชน์นี้ร่วมกัน และมีข้อจำกัดการใช้งานข้อมูลในส่วนของที่พาร์ทเนอร์เป็นเจ้าของ
Third Party Data
Third Party Data คือข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากตัวกลางแหล่งต่าง ๆ ซึ่งมีตั้งแต่ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าไปจนถึงข้อมูล Demographic เฉย ๆ เลยก็มี ซึ่งข้อมูลประเภทนี้มีจำนวนมหาศาลมากกว่าสองประเภทก่อนหน้า แต่ก็แลกมาด้วยคุณภาพที่ต่ำลงเช่นกัน เพราะมักจะเป็นชุดข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ไม่ได้ปัจจุบันทันด่วน
ใช้ในการทำ SEO และ SEM โดยใช้ข้อมูลที่ได้มาจากการเก็บรวบรวมมาวิเคราะห์หา “คีย์เวิร์ด” เพื่อใช้ในการทำ SEO และ SEM
Data-Driven Marketing Case Studies
Netflix
Image Source: Netflix Tech Blog
Netflix ใช้ Data ของกลุ่มลูกค้าที่มีใช้ในการออกแบบปกโฆษณาของซีรีส์เรื่อง Stranger Things เพื่อให้สอดคล้องกับรสนิยมการดูหนังในอดีตของผู้ใช้แต่ละคนให้มากที่สุด เพราะความแตกต่างของบุคลิก ต่างความชอบ ย่อมถูกกระตุ้นได้ด้วยสื่อที่ต่างกันออกไป
Spotify
Image Source: Promoly
เช่นเดียวกนกับ Spotify ที่ใช้ Data ในการออกแบบเพลย์ลิสต์เพลงให้ออกมาตรงใจกับผู้ใช้ โดยนำ Machine Learning มาวิเคราะห์ Data และสร้าง Recommendation Engine